Online Business with Google

                Google AdWords คือ โฆษณาในรูปแบบ pay per click ข้อดี คือ เสียค่าใช้จ่ายตามจริง เมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น และโฆษณาจะปรากฏให้ผู้ชมเห็นตามคีย์เวิร์ด (Keyword) หรือ กลุ่มคำที่คุณเลือกไว้ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

ค่าใช้จ่ายการลงโฆษณา ผ่านเสิร์ช เอนจิ้นในรูปแบบ Cost Per Click ของ แต่ละแคมเปญจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกลุ่มคำหรือคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ คีย์เวิร์ดคำใดที่เป็นที่นิยม และมีคู่แข่งขันเป็นจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายต่อการคลิก 1 ครั้งก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น ความชำนาญในการเลือกคีย์เวิร์ดและการเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย ช่วงระยะเวลาและความต่อเนื่องของแคมเปญ จำนวนชิ้นงานโฆษณาของแต่ละแคมเปญ ระบบการดูแลบริหารแคมเปญ เพื่อให้เกิดราคาต่อคลิกที่มีประสิทธิผลสูงสุด   ทั้งหมดล้วนส่งผลถึงงบประมาณที่ใช้ในการโฆษณาทั้งสิ้น

การหา Keyword ในการทำเว็บไซต์

  1. หา Keyword ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
  2. ค้นหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ว่าเมื่อเค้าจะหาสินค้าหรือบริการ “เค้าจะค้นด้วยคำว่าอะไร” แล้วค่อยเอา Keyword ทีได้ไปขยายต่อ
  3. คิด เพิ่มคำศัพท์ให้มากขึ้น จากคำเดิม เช่นเปลี่ยนรูปคำศัพท์เป็นเอกพจน์พหูพจน์ คำศัพท์ที่สะกดผิด หรือใช้การผสมผสาน Keyword หาคู่แข่งจาก Search Result (Google, Yahoo, MSN) หรือ ดูหน้าเว็บเค้า ไป view source หรือวิเคราะห์ ดูว่าเค้ามี keyword อะไรบ้าง
  4. ใช้ Niche Keyword (คำเฉพาะ) ก็เป็นสิ่งที่ได้ผลสูง และแข่งขันน้อย
  5. 1 Unique Keyword ต่อ 1 ads ดีที่สุด (สำหรับคนทำ Adwords) ซึ่งจำเป็นต้องใช้งานทั้ง Broad, Match and Phrase ถ้าถามว่า maximum keywords เท่าไรจึงจะดีสำหรับ 1 ads คำตอบก้อคือ 25 unique keywords ซึ่งถ้าใช้ทั้ง 3 แบบ ก้อจะเป็น 75 keywords
  6. search รายชื่อบริษัท หรือ คู่แข่งเราเป็น Keyword เลย
  7. ใช้ระบบพื้นที่ หรือ เมืองเข้าไปร่วมกับ keyword จะช่วยทำให้ keyword ดูเฉพาะ และหลายหลายมากขึ้น

Image

ZMOT หรือ Zero Moment of Truth คือ

        การที่ลูกค้าได้รู้จักและมีความสนใจในสินค้าก่อนที่จะเช้าไปดูสินค้าในร้านค้าจริงๆ ซึ่งลูกค้าอาจรู้ได้จากการเข้าชมเว็บไซต์ และ Social Media ต่างๆ หรือแม้กระทั่งการสแกน Barcode จากโทรศัพท์แล้วเปิดอ่าน ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิด ZMOT คือ การเติบโตของอินเทอร์เน็ตและเครื่องมือที่ใช้เชื่อมต่ออย่างสมาร์ทโฟน ที่มีการพัฒนาให้มีความสามารถมากขึ้น ตลอดจนการเจริญเติบโตของเทคโนโลยีการสื่อสารที่รวดเร็วมากขึ้น ที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าชมสินค้า รู้สถานที่ตั้ง แหล่งจำหน่าย

SME คืออะไร
คำว่า เอสเอ็มอี นั้นเป็นคำย่อ ของคำว่า Small and Medium Enterprise (SME) ในภาษาอังกฤษนั่นเอง สำหรับคำที่ใช้กันอย่างเป็นทางการ ของภาษาไทยคือ “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” นั่นเอง.
คำว่า เอสเอ็มอี นั้นเป็นคำย่อ ของคำว่า Small and Medium Enterprise (SME) ในภาษาอังกฤษนั่นเอง สำหรับคำที่ใช้กันอย่างเป็นทางการ ของภาษาไทยคือ “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” นั่นเอง

สำหรับประเทศไทย ได้มีกฎหมาย ธุรกิจเอสเอ็มอีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเรียกว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม พ.ศ. 2543 โดยตาม กฎหมายฉบับนี้นั้น ได้ให้อำนาจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในการกำหนดว่า ใครบ้างที่จะได้ ขึ้นชื่อว่า เข้าข่ายเป็น ธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งจะประกาศออกมาเป็นกฎกระทรวง ก่อนหน้านี้ จะใช้เกณฑ์ ในการวัดว่า ธุรกิจไหนเป็น เอสเอ็มอี ดังนี้คือ
• กิจการที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการผลิตหรือบริการ มีมูลค่าทรัพย์สินถาวรไม่เกิน สองร้อยล้านบาท มีการจ้างงานไม่เกิน สองร้อยคน
• กิจการค้าส่ง ที่มีทรัพย์สินถาวรไม่เกิน หนึ่งร้อยล้านบาท มีการจ้างงานไม่เกิน ห้าสิบคน
• กิจการค้าปลีก ที่มีมูลค่าทรัพย์สินถาวรไม่เกิน หกสิบล้านบาท มีการจ้างงานไม่เกิน สามสิบคน

คำศัพท์

  1. Business หมายถึง  ธุรกิจ  กิจกรรมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการโดยมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันและมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการประโยชน์หรือกำไรจากการกระทำกิจกรรมนั้น
  2.  Keywordหมายถึง คำที่เราเน้นเป็นพิเศษ อาจจะเน้นคำเหล่านั้นด้วย การใช้ลิงค์ Link Tag
  3. Fmotหรือ First Moment of Truth  หมายถึง เป็นคำที่ถูกนิยามไว้ตั้งแต่ปี 2005 โดย Procter & Gamble (P&G) ว่าเป็นชั่วขณะที่ผู้ซื้อมีปฏิสัมพันธ์กับหน้าร้านและเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจซื้อ
  4. Smot หรือ Second Moment of Truth หมายถึง  เป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว และมีประสบการณ์ในการใช้งานสินค้าดังกล่าว เค้าเหล่านั้นอาจจะมาเขียนรีวิวแบ่งปันข้อมูลบนเว็บไซต์ก็เป็นได้
  5. Conversation หมายถึง การสนทนา การคุยกัน, การคบค้าสมาคม, ความสามารถในการสังคมกับคนอื่น,ลักษณะการครองชีพ
  6.  Increase หมายถึงการเพิ่มขึ้น,จำนวนที่เพิ่มขึ้น
  7. Performance หมายถึง ผลงานที่เกิดจากการกระทำ
  8. Go global หมายถึง เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานแอพลิเคชั่นจากคอมพิวเตอร์แม่ข่าย
  9. Social Media หมายถึง สังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้เป็นผู้สื่อสาร หรือเขียนเล่า เนื้อหา เรื่องราว ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวิดีโอ ที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเอง ทำขึ้นเอง หรือพบเจอจากสื่ออื่นๆ แล้วนำมาแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่ายของตน ผ่านทางเว็บไซต์
  10.  Social Networkหมายถึง ที่ให้บริการบนโลกออนไลน์  ปัจจุบัน การสื่อสารแบบนี้ จะทำผ่านทาง Internet และโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
  11. Stimulus หมายถึง สัญญาณหรือการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีผลต่อกิจกรรมของสิ่งมีชีวิต
  12. Information Age หมายถึง  เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น โดยเฉพาะด้านธุรกิจ
  13. Online Marketing หมายถึง การตลาดที่มีการนำเอาอินเตอร์เน็ตเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เรียกว่า การทำการตลาดแบบออนไลน์
  14. Search Engine Merketing (SEM) หมายถึง อินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งรวมข้อมูล และความรู้ขนาดใหญ่ที่สุด และกำลังได้รับความนิยมมากในการใช้งานปัจจุบัน และเนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาลในอินเตอร์เน็ตนั้น ทำให้บางครั้งผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้
  15. Ave. Time on Site หมายถึง เวลาเฉลี่ยที่อยู่บนเว็บไซต์ของเรา
  16. Bounce Rate หมายถึง เปอร์เซ็นต์ของคนเข้าเว็บ และออกไปเลย (ไม่สนใจในเว็บของเรา) ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูง ยิ่งไม่ดี
  17. Google Analytics หมายถึง ตัวเก็บสถิติเกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมของคนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซด์ รวมทั้งติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญการโฆษณา
  18. Content คือ เนื้อหาภายในเว็บไซต์
  19. Pagerank (PR) หมายถึง ค่าที่ทาง google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ของเรา ซึ่งมีตั้งแต่ระดับ 1-10 ยิ่งมีค่ามากยิ่งแสดงว่า google ให้ความสำคัญมาก ค่านี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น คุณภาพของเว็บ และคุณภาพของ Link ที่เข้ามาหาเว็บ
  20. Traffic หมายถึง ปริมาณผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ที่ทำ SEO

One thought on “Online Business with Google

Leave a comment